วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 11


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 11
วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2560



เนื้อหา / กิจกรรม

การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย

รูปแบบการจัดการศึกษา

•การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
•การศึกษาพิเศษ (Special Education)
•การศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
•การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)

**เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)

•การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป
•มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
•ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
•ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน

การเรียนร่วมบางเวลา (Integration)
•การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
•เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ
•เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้

การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
•การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
•เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
•มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
•เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ท่ามกลางความแตกต่างกัน มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)

•การศึกษาสำหรับทุกคน
•รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา
•จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล

Wilson , 2007

•การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก
•การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
•กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้
•เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง


สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม

•เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
•เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา 
•เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน (Education for All)
•การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 
•เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
•เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน” ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน 
•ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก

ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
***ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้    “สอนได้”  และเป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด

บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม

ครูไม่ควรวินิจฉัยเพราะการวินิจฉัยคือการตัดสินว่าเด็กเป็น
ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
       •พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
       •พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
       •ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
       •ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
       •ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา 
ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย    สังเกตเด็กอย่างมีระบบ และจดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ

สังเกตอย่างมีระบบ
•ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
•ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า
•ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา

การตรวจสอบ
•จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
•เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
•บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ

ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
•ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
•ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
•พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป

การจดบันทึก
1.การนับอย่างง่าย
•นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
•กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
•ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม

2.การยบันทึกต่อเนื่อง
•ให้รายละเอียดได้มาก
•เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
•โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ

3.การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
•บันทึกลงบัตรเล็กๆ
•เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง

การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
•ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
•พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ

การตัดสินใจ
•ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
•พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่

ประเมินตนเอง

เข้าใจในการเรียนการสอนของวันนี้ดี และสนุกสนาน

ประเมินอาจารย์

เข้าสอนตรงเวลา สอนสนุกสนานมีการยกตัวอย่าง ให้เห็นภาพได้ชัดเจนดี





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น